วันนี้รายการบ้านเเละสวนโดยอมริทร์ทีวีจะพามาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับเรื่องหินผ่านการสัมภาษณ์คุณ สมเกียรติ จิตสร้างบุญ ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารบริษัทเอ็มไพร์ แกรนิต ซึ่งดำเนินธุรกิจในวงการหินมาแล้วกว่า 30 ปี จนได้รับตำแหน่งรองประธานสมาคมหินอ่อนแห่งประเทศไทย กล่าวได้ว่าเป็นทั้งผู้รอบรู้และผู้เชี่ยวชาญในเรื่องหินเป็นอย่างมาก
หินเป็นวัสดุที่นิยมใช้ในงานก่อสร้างและตกแต่งทั้งภายในและภายนอกมานานหลายศตวรรษ เพราะมีความแข็งแรง ทนทานต่อการสึกกร่อนและสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงได้ดี ปัจจุบันหินที่นำมาใช้กับงานตกแต่งในบ้านเรา นอกจากหินแกรนิตที่คุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว หินอ่อนก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่กำลังมาแรง เหมาะสำหรับผู้ชื่นชอบการตกแต่งด้วยหินธรรมชาติที่มีรูปแบบไม่ซ้ำใคร
พูดให้เข้าใจกันแบบง่ายๆ หินอ่อนก็คือหินปูนชนิดหนึ่ง ซึ่งมีแคลเซียมคาร์บอเนตเป็นองค์ประกอบหลัก ทำให้เกิดผลึกขึ้นมา ถ้าใช้กล้องหรือแว่นขยายส่องดูก็จะเห็นผลึกแคลไซด์จำนวนมาก และเมื่อนำมาขัดผิวหน้าก็จะเกิดความเงาและสวยงาม ส่วนสีสันของหินที่มีความหลากหลายนั้นก็ขึ้นอยู่กับการกำเนิดหรือแหล่งที่มา เช่น หินอ่อนที่เกิดบนภูเขาหรือเกิดใต้ดิน ซึ่งโลกใบนี้มีแหล่งหินอ่อนมากมาย เพียงแต่ว่าเราจะนำมาใช้หรือไม่ และเมื่อตัดแต่งขึ้นรูปแล้วมีความสวยงามเพียงใด หากมองในมุมของผู้ผลิตและจำหน่ายหินอ่อนแล้ว สิ่งที่ค้าขายกันก็คือ เรื่องของลวดลายและสีสัน โดยมองทางด้านลักษณะกายภาพว่า มีรูปทรงและลวดลายสวยงามอย่างไร เป็นความรู้สึกที่มนุษย์สามารถสัมผัสและรับรู้ได้
หินอ่อนแต่ละแหล่งก็มีเสน่ห์และความงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพียงแต่ว่าเราจะเลือกใช้อย่างไร ถ้าให้จัดอันดับแหล่งหินอ่อนที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยม กลุ่มหินที่มาจากทางยุโรปอย่างประเทศอิตาลี เป็นแหล่งที่ได้รับการยอมรับมานาน เนื่องจากมีความสม่ำเสมอของสีและลวดลายที่ไม่ต่างจากรุ่นก่อนๆที่ผลิตกันมา และมีการใช้งานมาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนสาเหตุที่ต้องนึกถึงอิตาลีนั้น เป็นเพราะเขารู้จักการใช้หินมาก่อนเรา รู้วิธีการตัด การขัดผิวหน้า ฯลฯ ซึ่งถ้าพูดในเชิงอุตสาหกรรมแล้ว อิตาลีถือว่าเป็นผู้นำทางด้านการผลิตหินอ่อน เพราะมีการพัฒนาเครื่องจักรให้ทันสมัยอยู่เสมอ แต่ในทางกลับกัน ปัจจุบันนี้อิตาลีก็ไม่ใช่ผู้นำด้านหินอ่อนเพียงผู้เดียวเช่นในอดีต เพราะหินอ่อนได้ถูกนำมาใช้จากหลายแหล่งทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสเปน ตุรกี หรือจีน ที่มีพื้นที่กว้างขวางและมีแหล่งหินใหม่ๆเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีหินอ่อนลวดลายใหม่ๆมานำเสนอทุกปี เพื่อเป็นทางเลือกให้นักออกแบบหรือผู้ใช้อีกด้วย
ถ้าหินอ่อนมีความบริสุทธิ์มากๆ เนื้อหินจะเป็นสีขาว ซึ่งหินอ่อนสีขาวที่เกิดจากผลึกของแคลไซด์เม็ดละเอียดๆจะหายากกว่าหินอ่อนที่มีสี และการที่หินอ่อนมีหลายสีนั้นก็ขึ้นอยู่กับสิ่งเจือปนต่างๆ อาทิ แมงกานีสออกไซด์ และเหล็กออกไซด์ ทำให้หินอ่อนมีสีต่างๆ โดยขึ้นอยู่กับปริมาณและอัตราส่วนของออกไซด์ทั้งสองที่ผสมอยู่ในเนื้อหิน เช่น สีแดง สีน้ำตาลไหม้ ฯลฯ แต่ถ้ามีแร่แกรไฟต์และบิทูเมนผสมอยู่ด้วย หินอ่อนจะออกโทนเป็นสีเทาจนกระทั่งถึงดำ
โดยทั่วไปเราจะนึกถึง “White Carrara” เมื่อพูดถึงชื่อนี้แล้ว ใครๆก็รู้จัก เพราะอิตาลีส่งออกหินชนิดนี้มานาน คุณลักษณะเด่นของหินชนิดนี้ก็คือ พื้นหินเป็นสีขาวมีลายสีเทา มีความสวยงามอยู่ในตัว และมีถิ่นกำเนิดในเมืองคาร์รารา (Carrara) จึงได้ชื่อว่า “White Carrara” จัดเป็นหินอ่อนเกรดปานกลาง และในแหล่งหินเดียวกันก็มีหินกำเนิดใหม่ที่มีความสวยงามมากกว่าเดิม บางแหล่งของหินจะมีความขาวมากยิ่งขึ้น มีลวดลายที่พลิ้วไหวมากขึ้น
ส่วนหินที่มีราคาแพงมากๆในปัจจุบันก็คือ Statario เป็นหินอ่อนเกรดคัดพิเศษที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสถาปนิก นักออกแบบ หรือแม้กระทั่งคอนโดมิเนียมหรูของแสนสิริ ก็เลือกหินชนิดนี้ไปใช้ในโครงการเช่นกัน ซึ่ง Statario จัดเป็นสินค้าระดับไฮเอนด์และเป็นสิ่งที่หายาก จึงทำให้มีราคาสูงตามความต้องการของท้องตลาด
แหล่งหินอ่อนใหญ่ๆในบ้านเรา มีอยู่ 2 แหล่งคือ จังหวัดสระบุรี และอำเภอปากช่อง (เขาใหญ่) จังหวัดนครราชสีมา โดยแหล่งหินในจังหวัดสระบุรีที่มีโรงงานตั้งอยู่หลายแห่งนั้น จะผลิตหินอ่อนสีขาว หรือขาวเทา ถ้าดูในเรื่ององค์ประกอบทางด้านแร่ธาตุก็มีคุณสมบัติไม่แพ้หินอ่อนจากอิตาลี เพียงแต่ลวดลายและสีไม่สวยเหมือนกับเขา เพราะหินอ่อนสีขาวในบ้านเราจะไม่ขาวเนียนหรือขาวสะอาด (มีสีเทาเจือปนอยู่) แต่หินชนิดนี้ก็เป็นหินอ่อนที่ใช้งานกันอยู่เป็นประจำ เพราะมีราคาไม่แพง และมีคุณสมบัติที่ดี ส่วนหินอ่อนจากปากช่อง จะมีสีออกมาทางขาวเทา หรือเทาชมพู
ส่วนการส่งออกหินอ่อนไปยังประเทศเพื่อนบ้านก็มีบ้าง แต่เมื่อคิดเป็นมูลค่าแล้วก็ถือว่าไม่มาก เพราะหินของเราอาจด้อยกว่าในเรื่องของความงาม รวมถึงความสมบูรณ์ของแหล่งหิน (เหมืองหินมีน้อยและยังผลิตได้ไม่มาก) ทำให้มีต้นทุนการผลิตสูง จึงเป็นอุปสรรคหนึ่งที่ทำให้การส่งออกหินอ่อนสู้ที่อื่นลำบาก
สมัยก่อนใช้การระเบิดหินจากเหมืองและใช้เครื่องจักรตัดจากแหล่งซึ่งใช้เวลานาน แต่ปัจจุบันมีการใช้โซ่สะลิงช่วยตัดหิน ลักษณะเหมือนกับการตัดขนมปังเป็นก้อนๆ คนในวงการจะเรียกกันว่า บล็อก และเมื่อเราได้บล็อกหินที่ต้องการแล้วก็จะลำเลียงหินมาทางเรือ อาจจัดเรียงมากับเรือขนส่งสินค้าหรือใส่ตู้คอนเทนเนอร์ จากเรือขนส่งสินค้าเมื่อมาถึงท่าเรือก็ผ่านขั้นตอนทางศุลกากร จากนั้นนำออกจากท่าเรือโดยรถเทรเลอร์ เพื่อมาส่งที่โรงงานผลิตเพื่อแปรรูปหินเป็นขนาดต่างๆ นอกจากนี้ก็มีการนำเข้าหินแบบกึ่งสำเร็จรูปที่มีการตัดเป็นแผ่นๆมาแล้ว เพื่อลดขั้นตอนการแปรรูปที่ยุ่งยาก เมื่อมีคำสั่งซื้อก็นำมาขัดผิวหน้าให้ขึ้นเงาและเรียบเนียน แล้วตัดซอยเป็นขนาดต่างๆต่อไป
การเดินทางของบล็อกหิน ต้องใช้เวลาพอสมควรเพราะมาทางทะเลหรือเรือเท่านั้น เนื่องจากหินมีน้ำหนักมาก โดยถ้าสั่งมาจากทางยุโรปจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 วัน แต่ถ้ามาจากทางเอเชียอย่างจีน(ทางตอนเหนือ) จะใช้เวลาเดินทางราว 3 สัปดาห์ และถ้ามาจากทางตอนใต้ของจีน จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 สัปดาห์ แต่ถ้ารวมกระบวนการตั้งแต่การเลือกหิน ขุดและตัดหินเป็นบล็อกๆ ลำเลียงใส่ตู้คอนเทนเนอร์ ขนส่งผ่านบริการของเรือขนถ่ายสินค้า นำอออกจากท่าเรือโดยรถเทรเลอร์ จนมาถึงโรงงานผลิตหรือแปรรูปหิน น่าจะใช้เวลา 2-3 เดือน
จากนั้นนำแผ่นสแล็บมาขัดผิวให้เรียบและขัดผิวหน้าให้ขึ้นเงา แล้วรองหลังด้วยตาข่ายไฟเบอร์เพื่อป้องกันแผ่นสแล็บถูกกระแทกเสียหาย จัดเก็บเข้าที่ให้เรียบร้อย และเมื่อมีลูกค้าสั่งจึงนำแผ่นมาตัดให้ได้ขนาดตามต้องการ
เมื่อเราเลือกบล็อกหินที่ต้องการได้แล้วก็นำมาเข้าเครื่องจักรตัดหินให้เป็นแผ่นสแล็บ ขนาดใหญ่ คือตัดหินออกมาเป็นแผ่นที่มีหน้ากว้าง 120 – 200 เซนติเมตร และยาว 220 – 300 เซนติเมตร ความหนามาตรฐาน 2 เซนติเมตร ทั้งนี้การตัดหินจะตัดด้วยใบเลื่อยเหล็กที่เคลือบด้วยผงเพชรสังเคราะห์ ซึ่งมีความคมมากๆ จากนั้นก็นำแผ่นสแล็บมาขัดผิวให้เรียบเนียนและขัดผิวหน้าให้ขึ้นเงา แล้วจึงตัดหินให้เป็นขนาดต่างๆตามต้องการ รวมถึงงานพิเศษอื่นๆ เช่น การเจียรบัวขอบหิน
ไม่มีอะไรที่ชัดเจนจะบอกได้ว่า ราคาหินจะเป็นเท่านั้นเท่านี้ ขึ้นอยู่กับความนิยมของผู้คนในแต่ละยุคสมัย และบางครั้งก็ขึ้นอยู่กับลักษณะทางกายภายของหินด้วย เช่น สีขาวหรือสีดำ สีแดงจัดมากๆ หรือมีสีสันสดใส ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ก็คือมูลค่าของหินชนิดนั้นๆ รวมถึงลวดลายของหินที่ตัดออกมาแล้วเป็นอย่างไร ถ้าลวดลายไม่สวย สีสันไม่ชัดเจน มีตำหนิ มีเส้นแร่มาก สิ่งต่างๆเหล่านี้ก็มีผลทำให้มูลค่าของหินลดลงได้เช่นกัน ดังนั้นมูลค่าของหิน จึงขึ้นอยู่กับความสวยงามของหินที่เราสัมผัสได้ สามารถยอมรับในราคาที่เสนอได้
ราคาหินอ่อนในบ้านเรานั้นสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มหินในประเทศ ถ้าเป็นหินขนาดมาตรฐาน เช่น สีขาว สีเทา ฯลฯ ราคาประมาณตารางเมตรละ 900 -1,500 บาท และกลุ่มหินจากต่างประเทศ ซึ่งมาจากแถบยุโรปและเอเชียอย่างจีน หินขนาดมาตรฐาน ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ตารางเมตรละ 2,500 – 6,000 บาท นอกจากนี้ยังมีกลุ่มหินที่มีระดับราคาหลักหมื่นบาทต่อตารางเมตรขึ้นไป ซึ่งถือเป็นกลุ่มพรีเมียมที่มีกำลังซื้อสูง
เมื่อเราเลือกหินอ่อนที่จะนำมาใช้งานได้แล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการติดตั้งหินหรือการปูหิน ซึ่งขั้นตอนนี้ก็มีค่าใช้จ่ายเหมือนกับการปูกระเบื้องเช่นกัน ทั้งนี้ค่าติดตั้งหินอ่อนของบ้านเรานั้น ถ้าเป็นงานปูพื้นเฉลี่ยอยู่ที่ตารางเมตรละ 400-800 บาท หากเป็นงานกรุผนังประมาณตารางเมตรละ 800-1,500 บาท (ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของงาน+ความสูง) ดังนั้นผู้ที่ต้องนำหินอ่อนมาใช้ในงานตกแต่งต่างๆ ควรเตรียมงบประมาณในส่วนนี้ไว้ด้วย
หินเป็นวัสดุธรรมชาติ เมื่อมีการใช้งานก็ย่อมมีการเสื่อมสภาพ ดังนั้นต้องมีการดูแลรักษาหรือทำความสะอาดหินอย่างสม่ำเสมอ และแม้ชื่อจะบอกว่าตัวเองคือหิน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะคงทนต่อทุกอย่าง โดยทั่วไปแล้วเรามักนำหินอ่อนไปใช้งานภายในหรืออยู่ในที่ร่มมากกว่า เนื่องจากสภาพภูมิอากาศของบ้านเรานั้นมีแดดแรงถึงแรงมาก ซึ่งมีส่วนอย่างยิ่งที่ทำให้ความเงาของหินเสื่อมสภาพเร็ว มีสีหมองคล้ำหรือซีดจางก่อนเวลาอันควร
การทำความสะอาดหินอ่อนเบื้องต้น สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เพียงใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำหมาดๆ เช็ด แล้วตามด้วยผ้าแห้ง และต้องไม่ให้เจอพวกกรด-ด่าง ซึ่งการดูแลรักษาก็คล้ายๆกับพวกกระเบื้องที่ต้องหมั่นเช็ดถูทำความสะอาดเป็นประจำ อย่าให้เกิดคราบสกปรกบนพื้นผิวนานๆ อาจทำให้คราบสกปรกฝั่งตัวแน่นและซึมลงสู่ภายในของเนื้อหินได้ แต่ถ้าให้สะดวกหน่อยก็ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหรือใช้น้ำยาเคลือบหินที่ช่วยรักษาพื้นผิวให้สวยทนและมีความเงางามได้นานยิ่งขึ้น อาทิ น้ำยาเคลือบหินสูตรน้ำ เช็ดเงาได้ทันทีไม่เกิดฟิล์ม จึงให้ความปลอดภัยแก่ผู้อยู่อาศัย
TIP : สิ่งที่ควรคำนึงถึงเมื่อคิดจะใช้หินธรรมชาติก็คือ เรื่องของลวดลายและสีสัน โดยเราต้องดูให้ใกล้เคียงกัน เช่น หินอ่อนที่มาจากแหล่งเดียวกัน สีจะไม่ต่างกันมาก เมื่อนำมาต่อเป็นพื้นที่กว้างๆ จึงมีความสม่ำเสมอของสี ดูเรียบร้อย สวยงาม แต่จะให้เหมือนกันเลยคงเป็นไปได้ยาก เพราะสีและลายของหินนั้นสร้างด้วยจิตรกรที่มีชื่อว่า “ธรรมชาติ” นั่นเอง
เรื่อง : สุพจน์ เพชรศักดิ์วงศ์
ภาพ : สังวาล, เจรมัย
เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า
คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น
Allow Allประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
คุกกี้นี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณเพื่อนำมาวิเคราะห์ ปรับปรุง และพัฒนงประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากถ้าไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์